คิดคำนึง

             มูลเหตุที่อุบาสิกาพิมพา เริ่มสอนกรรมฐานแนวของสมถกรรมฐานนี้ เนื่องจากเห็นว่า ปัจจุบันมีคนทำชั่วกันมาก  

ส่วนใหญ่เขาไม่เชื่อว่า นรก สวรรค์ นั้นมีจริง คนส่วนน้อยเชื่อว่า มีจริง แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้  ที่เชื่อเพราะได้ฟังพระสงฆ์เทศน์บอก 

และด้วยเชื่อว่าพระสงฆ์ย่อมไม่พูดปดแน่ ก็ไม่กล้าจะทำชั่วกัน  และหันมาสร้างทานกุศลตามที่พระสงฆ์ท่านชักชวน เพื่อหวังว่า

ตายแล้ว ตนเองจะได้ไปเกิดบนสรวงสวรรค์  จึงเอาเงินมาทุ่มเทสร้างวัด สร้างโบสถ์ สร้างวิหารการเปรียญ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า

สร้างพระพุทธรูป  จิปาถะต่าง ๆ ที่พระสงฆ์ท่านชักชวน เพื่อหวังความสุขในภพสวรรค์ แต่ว่าคนส่วนใหญ่นั้นสมัยนี้ต้องการเหตุผล  

ถ้าพิสูจน์ไม่ได้เขาก็ไม่เชื่อ พระสงฆ์ก็อาจมิได้สอนให้ญาติโยม ได้เห็นว่า ภูมินรก  ภูมิสวรรค์ นั้นมีสภาพความเป็นจริงอย่างไร 

หรือแนะแนวการปฏิบัติให้ญาติโยมได้รู้  และเข้าใจถึงเรื่องเหล่านี้เท่าใดนัก ส่วนใหญ่แนะนำให้ปฏิบัติแนววิปัสสนากรรมฐาน  

ปล่อยวาง เมื่อคนส่วนใหญ่ไม่รู้ และเชื่อว่า ภูมินรก ภูมิสวรรค์ นั้นมีอยู่จริง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้แล้ว  ก็คิดเสียว่า 

การพูดเรื่อง ภูมินรก ภูมิสวรรค์นั้น เป็นเรื่องล้าสมัย (เป็นเรื่องของนิยายโบราณ)  กล้าทำผิดกันมากมาย ก็เพราะว่าเขาพิสูจน์

ไม่ได้นั่นเอง 

             ด้วยว่าอุบาสิกาพิมพา ได้ศึกษาเรียนพระอภิธรรม และพบว่าในพระอภิธรรมปิฎกนี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนเรื่องของ

สมถกรรมฐาน  และวิปัสสนากรรมฐานไว้อย่างมั่นคง ละเอียด อุบาสิกาพิมพา มีความสงสารญาติโยม หรือเด็กวัยรุ่นที่กระทำชั่ว

กันมาก  จึงตัดสินใจแนะแนวสอนสมถกรรมฐาน เพื่อให้ญาติโยมและวัยรุ่นได้รู้แจ้งในคำสอนเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า

ภูมินรก ภูมิสวรรค์ นั้นมีอยู่จริง เพื่อให้เขาได้พิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ตามแนวหลักการปฏิบัติที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

เมื่อญาติโยมได้มาปฏิบัติอย่างถูกต้องตามพระอภิธรรมปิฎก ย่อมได้อภิญญา ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้พระอภิธรรมปิฎกจริง

             ด้วยการปฏิบัติสมถกรรมฐานแนววิธี กสิณ 10 นี้ เป็นขั้นโลกียะ เป็นธรรมะกลาง ๆ เมื่อบุคคลปฏิบัติตามนี้แล้ว  

จะได้สำเร็จ โลกียอภิญญา 5 อันได้แก่

                  1. ทิพพจักขุอภิญญา (ได้ตาทิพย์)

                  2. ทิพพโสตอภิญญา (ได้หูทิพย์)

                  3. ปุพเพนิวาสานุสติอภิญญา (ระลึกชาติได้)

                  4. ปรจิตตวิชานนอภิญญา (รู้วาระจิตของผู้อื่นได้)

                  5. อิทธิวิธอภิญญา (ทำฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้ต่าง ๆ)

              (ที่มา - "อภิญญา 5" หนังสือชื่อ "ปรมัตถโชติกะ สมถกรรมฐานทีปนี"  ในปริจเฉทที่ 9 ของพระสัทธัมมโชติกะ 

ธัมมาจริยะ รวบรวมโดย พระมหาถวัลย์ ญาณจารี ป.ธ.9  อภิธรรมบัณฑิต , 

สำนักวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร)

              ในการแนะแนวการปฏิบัติสมถกรรมฐาน แนววิธี กสิณ 10 แก่ญาติโยม และวัยรุ่นที่สนใจ เมื่อพวกเขาปฏิบัติจนได้  

"ทิพพจักขุอภิญญา" (ได้ตาทิพย์) ก็ย่อมไปสู่สวรรค์ภูมิ หรือลงไปสู่นรกภูมิได้  และได้สัมภาษณ์พวกเทพ และพวกฝูงผี ฝูงเปรต 

เหล่านั้น เขาก็จะรู้แจ้งเรื่องบุญ เรื่องบาปเอง

              เมื่อญาติโยม และวัยรุ่นได้พิสูจน์กับตัวเองอย่างนี้แล้ว เขาก็จะพากันละทำความชั่ว  หันมาสร้างแต่กรรมดี เพราะเขาได

้พิสูจน์ด้วยตนเองแล้ว ย่อมมีความเชื่อมั่น และทำให้เขาไม่ต้องตกไปสู่อบายภูมิ  และได้สูงส่งเป็นเทพ หรือเป็นพรหม หรือจะทำ

วิปัสสนากรรมฐาน ต่อ เพื่อหวังมรรคผล นิพพาน  ได้ง่ายมาก

              ด้วยเหตุนี้ อุบาสิกาพิมพา จังตัดสินใจสอนกรรมฐานแนวนี้ให้แก่ญาติโยม และวัยรุ่น  ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2519 

มาจนถึงปัจจุบันนี้ ได้ผลดีมาก

              อุบาสิกาพิมพา ได้ทำการสอนกรรมฐานให้แก่ วัยรุ่นที่หลงติดยาเสพติด เด็กวัยรุ่นเหล่านี้ก็ปฏิบัติได้ผลดี  และมีความ

เกรงกลัวต่อไป เลิกทำความชั่ว เพราะพวกเขาเห็นการทรมานในนรก แล้วเกิดความกลัวอย่างยิ่ง

              และอุบาสิกาพิมพา ได้มีโอกาสแนะแนะการปฏิบัติกรรมฐานให้แก่ผู้ต้องขัง ในเรือนจำกลาง  คลองเปรม โดยการเชิญ

ของอนุศาสนาจารย์ของเรือนจำ ในขณะนั้น ซึ่งมีผู้ต้องขังเข้าร่วมปฏิบัติประมาณสองร้อยกว่าคน  โดยสอนเฉพาะวันพฤหัสบดี ผลคือ

ผู้ต้องขังที่มาปฏิบัติ ได้ทิพพจักขุอภิญญา (ได้ตาทิพย์)  เกือบหมดทุกคน (หมายความถึงว่า ผู้ต้องขัง ได้ไปสู่นรกภูมิ ไปสวรรค์ภูมิได้

ดูหลักฐานภาพถ่ายจากบัญชีกรรมชั่วของตนเองได้  ซึ่งจะมีหลักฐานภาพถ่ายปรากฏอย่างถูกต้อง ชัดเจน) เมื่อพวกเขาได้ดูหลักฐาน

การกระทำชั่วของพวกเขา  จากการบันทึกของยมฑูตแล้ว ทุกคนยอมรับ บ้างก็ร้องไห้โศกศัลย์ และปฏิญาณตัวว่าจะไม่ทำชั่วอีกแล้ว

              ผู้ต้องขังที่ได้เคยฝึกปฏิบัติกรรมฐานกับอุบาสิกาพิมพา ได้มีจดหมายมาถึง และบอกว่า  "ตอนตีสี่ (เวลา 04.00 นาฬิกา)

เขาลุกขึ้นนั่งกรรมฐานในห้องขังทุกคืน เขานั่งทีไรก็เห็นไฟนรกลุกแดงฉานไปหมด  ร้อนมาก และเกิดความกลัว" และมีผู้ต้องขัง

หลายคนได้ฝึกสอนแทนอุบาสิกาพิมพาอยู่ในเรือนจำกลาง  คลองเปรม และมีผู้ต้องขังหลาย ๆ คน เมื่อหลุดพ้นโทษออกจาก

เรือนจำแล้ว ก็ได้มาเยี่ยมอุบาสิกาพิมพา  ที่กุฏิที่พำนัก และมาฝึกปฏิบัติกรรมฐานต่อที่กุฏิก็มี บางคนก็กลับไปภูมิลำเนาเดิมของตน

ได้สอนกรรมฐานให้แก่ลูก ๆ ของเขา และได้พาลูกมาหาอุบาสิกาพิมพา เพื่อให้ตรวจสอบกรรมฐานอีกครั้งหนึ่งว่าเป็นของจริง  หรือของลวง

               สาเหตุที่ผู้ต้องขังสามารถสอนกรรมฐานแทนอุบาสิกาพิมพาได้หลายคนนั้น เพราะว่า เมื่ออุบาสิกาพิมพา  ฝึกกรรมฐาน

ให้ใครได้อภิญญาแล้ว จะฝึกวิชาครูให้ทุกคน เพื่อให้ไปช่วยกันสอนกรรมฐานกันต่อ  ๆ ไป

               เพื่อให้ชนทั้งหลายได้รู้ความจริงในเรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่า ภูมินรก  ภูมิสวรรค์นั้น มีจริง ผลของบุญ 

ผลของบาป นั้นมีจริง และอีกอย่างหนึ่งเพื่อช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนา  หรือช่วยกันเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า 

ด้านคำสอนในด้านการปฏิบัติสมถกรรมฐาน ซึ่งถือได้ว่าเป็นธรรมะระดับกลาง  ๆ ซึ่งเมื่อผู้ใดได้ปฏิบัติจนได้โลกียอภิญญาห้า แล้ว 

อุบาสิกาพิมพา ก็จะให้ปฏิบัติไปเรื่อย  ๆ อีกประมาณปีหนึ่ง เพื่อให้พระกรรมฐานแนวนี้มั่นคงไม่เสื่อมคลาย ต่อจากนั้นก็จะให้พัก

ปฏิบัติกรรมฐานแนวสมถะนี้  และให้ปฏิบัติแนววิปัสสนากรรมฐาน ขั้นสูงขึ้นต่อไป (ขั้นโลกุตระ) เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเห็นกิเลส  รูปนาม

ขันธ์ห้า เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ เพื่อให้หมดอุปทานยึดมั่นในอารมณ์ทั้งมวล  เพื่อให้สำเร็จคำสอนขั้นสุดท้ายของพระพุทธเจ้าที่

พระองค์ มุ่งหวังเพื่อจะช่วยให้สัตว์โลกพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด  สิ่งนั้นคือ พระนิพพาน ความดับ เป็นจุดสุดท้ายที่เรียกว่า 

"นิพพานัง ปรมัง สุญญัง  หรือ นิพพานนัง ปรมัง สุขขัง" นั่นเอง