เริ่มสอนกรรมฐาน ต่อมาอุบาสิกาพิมพา มีความจำเป็นต้องลาสึกไปถือเพศฆราวาสอยู่ 18 ปี เมื่อเสร็จสิ้นกิจทางเพศฆราวาสแล้ว ได้เข้าถือบวช ทางพระพุทธศาสนาอีกครั้ง เมื่อปีพุทธศักราช 2519 ที่จังหวัดเพชรบุรี และเมื่อปีพุทธศักราช 2520 ก็ได้มาอยู่ที่วัดกำแพง (หลังออกพรรษาแล้ว) และได้เข้าศึกษาเล่าเรียนพระอภิธรรมปิฎกต่อ ในระยะที่มาเรียนอภิธรรมปิฎกต่อนั้น ได้มาพำนักอยู่ที่ วัดกำแพงบางจาก ซอยเพชรเกษม 20 เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร (คือสถานที่พำนักในปัจจุบัน) และในสมัยนั้น ใกล้ ๆ วัด ก็มีวัยรุ่นเสพสิ่งเสพติดอยู่มาก อุบาสิกาพิมพา เห็นแล้วเกิดความสงสาร ต้องการให้วัยรุ่นเหล่านี้ได้รู้ ู้เรื่องบุญ เรื่องบาป จึงได้ชักนำให้วัยรุ่นกลุ่มนี้หันมาปฏิบัติธรรม ศึกษาการปฏิบัติกรรมฐานในแนวของสมถกรรมฐาน เพื่อให้บังเกิด ฤทธิ์ อภิญญา สามารถรู้เรื่อง นรก สวรรค์ บุญ บาป วัยรุ่นเหล่านี้ หลังจากได้ปฏิบัติกรรมฐาน ก็สามารถไปสู่ภพภูมินรก และสวรรค์ได้ มีความเชื่อว่า ผลแห่งบุญและบาปนั้นมีจริง วัยรุ่นเหล่านี้ก็ได้บอกเล่าต่อ ๆ ไป จนมีผู้สนใจ และรู้จักอุบาสิกาพิมพากันมากขึ้น นักเรียน นิสิต นักศึกษา ผู้สนใจทั่วไป ก็เริ่มฝึกปฏิบัติ ิกรรมฐานกันมาก ผู้ปฏิบัติเหล่านี้ได้ปฏิบัติกรรมฐานจนสามารถไปสู่ ภูมินรก สวรรค์ ได้ด้วยตนเองจากผลการปฏิบัติสมถกรรมฐาน และ ก็ได้นำเรื่องที่ตนประสบ และรู้นั้นเล่าบอกแก่บิดา มารดา ญาติ มิตร พี่น้องของเขา ผู้ที่ได้รับทราบเรื่องก็ได้ติดตามมาฝึกปฏิบัติ กรรมฐานกันมากขึ้น การฝึกปฏิบัติกรรมฐานแนวสมถกรรมฐานนี้ก็ได้แพร่หลายทั่วไป จนมีผู้ปฏิบัติกรรมฐานกันมากขึ้น ทำให้อุบาสิกาพิมพา ไม่มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนด้านปริยัติ เพราะมุ่งเน้นสั่งสอนการปฏิบัติกรรมฐานให้แก่ผู้สนใจ จึงทำให้ไม่จบอภิธรรมปิฎกในขั้นสูงขึ้น และอุบาสิกาพิมพาก็ได้นำความรู้ที่ได้ศึกษามาจากอภิธรรมปิฎก สอนให้แก่ผู้สนใจเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อผู้ปฏิบัติใดสำเร็จอภิญญาตาทิพย์ หูทิพย์ ไปสู่ภพภูมินรก ไปภูมิสวรรค์ได้คล่องแคล่วแล้ว อุบาสิกาพิมพาก็จะสอนให้ หัดลืมตามองดู เพื่อให้ลืมตามองเห็นสวรรค์ได้ ลืมตามองเห็นพวกวิญญาณภูมิผี เหมือนการมองเห็นสภาพธรรมดาปกติ ต่อจากนั้น เมื่อผู้ปฏิบัติสำเร็จในการปฏิบัติแบบนี้ได้หนึ่งปี อุบาสิกาพิมพา จะให้เปลี่ยนการปฏิบัติในขึ้นสูงต่อไป ซึ่งชื่อว่า แนววิปัสสนากรรมฐาน (ขั้นโลกุตระ) เพื่อพระนิพพานความดับ การที่สอนให้เห็น นรก สวรรค์ นั้น เป็นโลกียฌาน เป็นธรรมะกลาง ๆ การปฏิบัติสมถกรรมฐาน แนววิธี กสิณ 10 นี้ เป็นวิธีที่จะทำให้บังเกิดฤทธิ์อภิญญา และเหมาะกับบุคคลทุกจริต อุบาสิกา พิมพา จึงเลือกเอาแนววิธี กสิณ 10 มาฝึกปฏิบัติที่เรียกว่า "การทำฌาน" และเพื่อจะให้ได้สำเร็จโลกียอภิญญา 5 อย่าง เมื่อผู้ปฏิบัติใด ได้สำเร็จอภิญญานี้แล้ว อุบาสิกาพิมพา ก็จะให้เรียนวิปัสนาขั้นสูงที่เรียกว่า "โลกุตระ" ต่อไป โดยให้เจริญ สติปัฏฐาน 4 อันได้แก่ กายานุปัสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสนาสติปัฏฐาน จิตตาปัสนาสติปัฏฐาน ธัมมาปัสนาสติปัฏฐาน เพื่อเดินสาย โลกุตรธรรมต่อไป เพื่อให้ได้เกิดญานตัวรู้ รูปนาม ขันธ์ห้า รู้การเกิดดับของรูปนาม เห็นไตรลักษณ์ดับ ให้หมดอุปทานยึดมั่น ตาม แนวที่อุบาสิกาพิมพา ได้ศึกษามาจากวิปัสสนากรรมฐานของวัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร รายละเอียดในการปฏิบัติสมถกรรมฐาน แนววิธี กสิณ 10 นี้ ให้ท่านศึกษาค้นคว้าได้ในอภิธรรมปิฎก ปริจเฉทที่ 9 ซึ่งมี ชื่อว่า "สมถกรรมฐานทีปนี" ซึ่งเป็นหลักสูตรใช้เรียนในชั้นมัชฌิมอาภิธัมมิกะโท ของอภิธรรมมหาวิทยาลัย วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี หรือที่ อภิธรรมมหาวิทยาลัย วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้บ่งบอกไว้อย่างละเอียด การสอนกรรมฐานนี้ อุบาสิกาพิมพาได้นำความรู้ทางด้านอภิธรรมปิฎกสอนควบคู่กับการปฏิบัติกรรมฐานด้วย เพื่อให้ ผู้ปฏิบัติ ได้ศึกษาคำสอนของสมถกรรมฐาน วิปัสนากรรมฐาน และอภิธรรมปิฎก ส่วนพระสูตร และพระวินัยนั้น อุบาสิกาพิมพา ไม่ได้ เรียนทางด้านนี้ จึงไม่ได้สอน
สรุปความ อุบาสิกาพิมพา แนะแนวการปฏิบัติสมถกรรมฐาน โดยใช้การเพ่ง กสิณ 10 เพื่อให้ได้โลกียะอภิญญา 5 อย่าง และปฏิบัติ ิวิปัสสนากรรมฐาน (ขั้นโลกุตระ) เพื่อให้ได้บรรลุ อริยบุคคล 4 คือ พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา และพระอรหันต์ และให้ ผู้ปฏิบัติ เรียนพระอภิธรรมปิฎกควบคู่ไปด้วย